แมงกะพรุน หรือ กะพรุน[1] (อังกฤษ: Jellyfish, Medusa) จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมไนดาเรีย ไฟลัมย่อยเมดูโซซัว แบ่งออกเป็นอันดับได้ 5 อันดับ (ดูในตาราง) ลักษณะลำตัวใสและนิ่มมีโพรงทำหน้าที่เป็นทางเดินอาหารมีเข็มพิษที่บริเวณหนวดที่อยู่ด้านล่าง ไว้ป้องกันตัวและจับเหยื่อ เมื่อโตเต็มวัย ส่วนประกอบหลักในลำตัวเป็นน้ำร้อยละ 94-98 ด้านบนเป็นวงโค้งคล้ายร่ม ด้านล่างตอนกลางเป็นอวัยวะทำหน้าที่กินและย่อยอาหาร พบได้ในทะเลทุกแห่งทั่วโลก
แมงกะพรุนส่วนใหญ่จัดอยู่ในอันดับไซโฟซัว แต่ก็บางประเภทที่อยู่ในอันดับไฮโดรซัว อาทิ แมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส (Physalia physalis) ซึ่งเป็นแมงกะพรุนที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก และแมงกะพรุนอิรุคันจิ (Malo kingi) ที่อยู่ในอันดับคูโบซัว ก็ถูกเรียกว่าแมงกะพรุนเช่นกัน
แมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกส(Portuguese Man-of-War)
แมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส หรือ แมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกส (อังกฤษ: Portuguese man-of-war, Portuguese Man o' War, Bluebottle) เป็นแมงกะพรุนชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในอันดับไฮโดรซัว มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Physalia physalis ที่ได้ชื่อเช่นนี้
เนื่องจากรูปร่างคล้ายหมวกของทหารเรือชาวโปรตุเกสในยุคกลาง หรือเรือรบของโปรตุเกสในยุคล่าอาณานิคมที่เรียกว่า "Man-of-war"มีรูปร่างสีฟ้าหรือสีม่วง มีหนวดยาว จัดอยู่ในวงศ์ Physaliidae และสกุล Physalia ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิดเท่านั้น โดยปกติจะไม่พบในน่านน้ำไทย โดยจะพบในทะเลเปิดของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ, ทะเลเมดิเตอเรเนียน, มหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย แต่จะอาจจะถูกกระแสน้ำพัดมาเกยตื้นหรือเข้าสู่น่านน้ำไทยได้ในบางฤดูกาล จัดเป็นแมงกะพรุนชนิดที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก เทียบเท่าแมงกะพรุนกล่องหรือแมงกะพรุนอิรุคันจิ (Malo kingi) และเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลกด้วย ซึ่งพิษนั้นจะทำลายระบบประสาท ผิวหนัง หัวใจ เมื่อถูกต่อยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนอย่างมาก ส่วนใหญ่ผู้ที่โดนพิษจะช็อค และหัวใจล้มเหลวก่อนที่จะกลับเข้าถึงฝั่ง วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นคือ การใช้น้ำอุ่นมาล้างบริเวณที่ถูกพิษอย่างน้อย 30 วินาที ก่อนที่พิษจะเข้าสู่กระแสเลือด
ปลาหมึกยักษ์ Colossal squid, Antarctic giant cranch squid
หนวดไม่เหมือนหมึกชนิดอื่นที่มีปุ่มดูดยาวเป็นแถวหรือมีฟันซี่เล็ก แต่มีทั้งปุ่มดูดและตะขอที่แหลมคม ลำตัวกว้างกว่า หนากว่า และหนักกว่าหมึกชนิดอื่น เชื่อว่ามีแมนเทิลที่ยาวกว่าหมึกชนิดอื่น แต่มีหนวดสั้นกว่าเมื่อเทียบตามสัดส่วน
จะงอยปากใหญ่ที่สุดในบรรดาหมึกที่รู้จักกัน มีขนาดและความแข็งแรงมากกว่าในหมึกสกุล Architeuthis และเชื่อว่า มีดวงตาที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสัตว์
ถิ่นอาศัยมีบริเวณหลายพันกิโลเมตร ตั้งแต่ทวีปแอนตาร์กติก ขึ้นไปทางใต้ของทวีปอเมริกาใต้, ทางใต้ของทวีปแอฟริกา และทางใต้ของนิวซีแลนด์ กล่าวคือมีถิ่นอาศัยในมหาสมุทรทางตอนใต้ของโลกที่ล้อมรอบขั้วโลกใต้เป็นวงกลม
วงจรชีวิตของหมึกชนิดนี้เป็นที่รู้จักน้อยมาก เชื่อว่าล่าเหยื่อเช่น หนอนทะเลและหมึกชนิดอื่นในทะเลลึก โดยใช้แสงเรืองจากตัวเอง อาจกินปลาขนาดเล็ก เพราะชาวประมงจับได้ขณะจับปลาจิ้มฟัน
ยังไม่เคยมีการสังเกต การสืบพันธุ์ของหมึกชนิดนี้ แต่อนุมานได้จากลักษณะทางกายวิภาค ตัวผู้ไม่มี hectocotylus (หนวดในสัตว์ประเภทหมึกซึ่งใช้ปล่อยอสุจิไปในตัวเมีย) จึงคาดว่าใช้ ลึงค์ โดยสอดใส่อสุจิเข้าสู่ร่างกายของตัวเมียโดยตรง
เชื่อว่าศัตรูตามธรรมชาติที่สำคัญคือ วาฬสเปิร์ม ซึ่งซากวาฬจำนวนมากมีแผลบนหลัง คล้ายปุ่มดูดของหมึกขนาดใหญ่ และซากจะงอยปากหมึก ที่พบในกระเพาะของวาฬสเปิร์มแอนตาร์กติกที่อาศัยในมหาสมุทรตอนใต้ ถึง 14% เป็นของหมึกชนิดนี้ ทำให้อนุมานได้ว่ามีปริมาณ 77% ของน้ำหนักอาหารที่วาฬเหล่านี้ในบริเวณนั้นกิน มีสัตว์ชนิดอื่นอีกที่อาจกินหมึกชนิดนี้ในช่วงวัยต่างๆ ได้แก่ วาฬจมูกขวด, วาฬไพล็อต, แมวน้ำช้างขั้วโลกใต้, ปลาจิ้มฟันพาตาโกเนีย, ปลาฉลามขี้เซาแปซิฟิก และนกอัลบาทรอส โดยซากจะงอยปากจากตัวเต็มวัย พบได้แต่ในกระเพาะอาหารสัตว์ขนาดใหญ่พอจะล่าตัวเต็มวัยได้เท่านั้น เช่น วาฬสเปิร์ม และปลาฉลามขี้เซาแปซิฟิก ขณะที่นักล่าอื่นกินได้เพียงวัยอ่อน จากตัวอย่างไม่กี่ชิ้น โดยเฉพาะซากจะงอยปากที่พบในกระเพาะอาหารของวาฬสเปิร์ม จึงคาดว่า หมึกที่โตเต็มวัยน่าจะอาศัยที่ความลึกอย่างน้อย 2,200 เมตร ขณะที่ตัวที่ยังไม่โตเต็มที่อาศัยที่ความลึก 1,000 เมตรเป็นอย่างมาก
กุสตาฟ (อังกฤษ: Gustave)
เป็นชื่อเรียกของจระเข้เพศผู้ตัวหนึ่ง เป็นจระเข้แม่น้ำไนล์ (Crocodylus niloticus) ที่มีความยาวกว่า 20 ฟุต และหนักถึง 2,000 ปอนด์ ในปี ค.ศ. 2004 นับเป็นจระเข้ที่ได้รับการยืนยันว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบเห็นในทวีปแอฟริกา[1] ประมาณว่ากุสตาฟมีอายุถึงกว่า 60 ปีแล้ว
กุสตาฟ มีชื่อเสียงขึ้นมาจากการเป็นจระเข้ที่สังหารและกินคนเป็นอาหาร เชื่อว่ากุสตาฟฆ่าและกินคนไปแล้วกว่า 300 คน ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมานี้ นับเป็นสถิติจระเข้กินคนที่มากที่สุด[1] กุสตาฟอาศัยอยู่ในแม่น้ำรูซิซี ทางเหนือของทะเลสาบแทนแกนยิกา ในประเทศบุรุนดี นอกจากนี้แล้วกุสตาฟยังมีพฤติกรรมที่แปลกไปจากจระเข้ตัวอื่น ๆ คือ เมื่อฆ่าคนได้แล้ว ในบางครั้งจะไม่กินแต่จะทิ้งซากไว้อย่างนั้นเฉย ๆ บนฝั่ง [2]
และนอกจากนี้แล้ว กุสตาฟยังเคยมีพยานพบเห็นว่า มันได้โจมตีใส่ฮิปโปโปเตมัสขนาดโตเต็มที่กลางแม่น้ำ ซึ่งนับว่าอุกอาจมาก เพราะโดยธรรรมชาติแล้ว จระเข้จะไม่ทำร้ายฮิปโปโปเตมัส และเป็นฮิปโปโปเตมัสด้วยเองเสียอีกที่อาจกัดและทำร้ายจระเข้ที่ยังมีขนาดไม่โตเต็มที่อีกด้วย กุสตาฟยังได้รับการกล่าวขานจากผู้คนว่า เป็นจระเข้ที่ฉลาดที่สุด เพราะเนื่องจากว่ามันได้ถูกตามล่าจากนักล่าสัตว์และพวกทหาร มันไม่เคยถูกจับเลยแม้แต่ครั้งเดียว (เว้นแต่จะถูกยิงที่หัว 1 นัดและสีข้างขวา 3 นัดจนเป็นแผลเป็น) มีอยู่เรื่องหนึ่งจากชาวบ้านว่า พวกชาวบ้านได้สร้างกรงขนาดใหญ่และเอาไปวางไว้ที่ริมแม่น้ำเพื่อที่จะจับเจ้ากุสตาฟ โดยใช้แพะเป็นเหยื่อล่อผูกติดเอาไว้กับกรงขัง แต่พอตอนเช้าของวันต่อมากลับปรากฏว่า กรงนั้นได้จมหายไปในแม่น้ำแล้ว เหยื่อเองก็หายไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่เหตุการณ์นั้น ไม่มีใครเห็นเจ้ากุสตาฟอีกเลย ทุกคนเชื่อกันว่า มันได้ไปหากินในแม่น้ำของป่าลึก เพื่อหนีจากการตามล่าของพวกนักล่าสัตว์และพวกทหาร ปัจจุบันยังเชื่อกันอีกว่า กุสตาฟยังมีชีวิตอยู่ และมีอายุมากราว ๆ ประมาณ 70-100 ปี
ปลาไหลมอเรย์ Moray eel, Moray
ปลาไหลมอเรย์ หรือ ปลาหลดหิน (อังกฤษ: Moray eel, Moray) เป็นวงศ์ของปลากระดูกแข็งวงศ์หนึ่ง ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Muraenidae อยู่ในอันดับปลาไหล (Anguilliformes)มีรูปร่างเรียวยาวเหมือนปลาไหลทั่วไป ไม่มีครีบอก ครีบหลังเชื่อมต่อกับครีบก้นและครีบหาง โดยมีจุดเด่นร่วมกันคือ มีส่วนปากที่แหลม ไม่มีเกล็ดแต่มีหนังขนาดหนาและเมือกลื่นแทน เหงือกของปลาไหลมอเรย์ยังลดรูป เป็นเพียงรูเล็ก ๆ อยู่ข้างครีบอกที่ลดรูปเหมือนกัน เลยต้องอ้าปากช่วยหายใจเกือบตลอดเวลา คล้ายกับการที่อ้าปากขู่ นอกจากนี้แล้วภายในกรามยังมีกรามขนาดเล็กซ้อนกันอยู่ข้างใน ซึ่งปกติจะอยู่ในช่วงคอหอย แต่จะออกมาซ้อนกับกรามใหญ่เมื่อเวลาอ้าปาก ใช้สำหรับจับและขบกัดกินอาหารไม่ให้หลุด
ปลาไหลมอเรย์เป็นปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร ออกหากินในเวลากลางคืน โดยการล่าเหยื่อด้วยการใช้ประสาทสัมผัสทางกลิ่น ที่เป็นแท่งเล็ก ๆ ยื่นอยู่ตรงปลายปาก 2 แท่ง คล้ายจมูก ซึ่งอวัยวะส่วนนี้มีความไวต่อกลิ่นมาก โดยเฉพาะกลิ่นคาวแบบต่าง ๆ เช่น กลิ่นเลือดหรือกลิ่นของสัตว์ที่บาดเจ็บมีบาดแผล อาหารได้แก่ ปลาทั่วไป รวมถึงสัตว์ที่มีกระดองแข็งเช่น กุ้ง, กั้ง, ปู รวมถึงหมึกด้วย
หอยเต้าปูน Cone snail, Cone shell
เป็นสัตว์ที่มีลำตัวอ่อนนุ่ม มีเปลือกห่อหุ้มอยู่ภายนอกร่างกาย เพื่อเป็นการป้องกันอันตราย จากสัตว์อื่น ๆ ในท้องทะเล มีเข็มพิษเป็นอาวุธ พิษของหอยเต้าปูนเป็นที่สนใจของนักวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีความซับซ้อนในโครงสร้างของพิษ อีกทั้งยังออกฤทธิหลากหลาย ทำให้ยากที่จะป้องกันได้ ซึ่งพัฒนาการนี้เองทำให้หอยเต้าปูนได้เปรียบสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น สามารถทำให้เหยื่อเป็นอัมพาตชนิดเฉียบพลันได้ภายใน 1/200 วินาที ความเร็วในการจู่โจมอยู่ที่ 1/4 วินาที
หอยเต้าปูนสายพันธุ์ Conus geographus ที่รู้จักกันชื่อ หอยบุหรี่ มีเข็มพิษที่ร้ายแรงมาก ถึงกับมีคำกล่าวว่า หากใครถูกเข็มพิษของชนิดนี้เข้า จะมีชีวิตอยู่ได้เพียงช่วงเวลา ของบุหรี่ 1 มวน ในสายพันธุ์ของเขตร้อนที่มีขนาดใหญ่ เข็มพิษจะสามารถเจาะทะลุถุงมือหรือชุดว่ายน้ำได้ พิษของมันจะทำให้ ปวด บวม ชา ในกรณีที่ร้ายแรง จะทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต สายตาพร่ามัว ระบบหายใจล้มเหลว ปัจจุบันยังไม่มียาชนิดใดจะช่วยเยียวยาหรือรักษาพิษของหอยเต้าปูนได้
พิษของหอยเต้าปูนมีชื่อว่า โคโนทอกซิน (conotoxins) เป็นหนึ่งในพิษที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่เคยมีการค้นพบ ที่ออกฤทธิต่อระบบประสาท ในหอยเต้าปูนแต่ละตัว จะสามารถสร้างพิษ ที่แตกต่างกันได้กว่า 100 ชนิด ซึ่งในพิษนี้จะมีสายโปรตีน (peptide) ที่สามารถยับยั้ง สารสื่อประสาทที่สำคัญหลายตัว ของสิ่งมีชีวิตได้ เมื่อสกัดเอาสายโปรตีนบางตัวออกมา นำมาวิจัยพัฒนาต่อ เป็นยาต่อต้านอาการเจ็บปวด ซึ่งมันจะไปหยุดยั้งเฉพาะความเจ็บปวดบางอาการเท่านั้น โดยที่ไม่ทำลายความรู้สึกทั้งหมด ในปัจจุบันสิ่งที่ใช้ระงับอาการเจ็บปวดคือ มอร์ฟีน แต่จากการทดลองพบว่า ยาที่สกัดจากพิษของหอยเต้าปูน มีประสิทธิภาพมากกว่ามอร์ฟีนถึง 1000 เท่า อีกทั้งยังสามารถใช้ได้ในอาการเจ็บปวดบางกรณี ที่มอร์ฟีนไม่สามารถระงับได้อีกด้วย